วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2559

8 องค์ประกอบของเรซูเม่ที่ดี

HR ใช้เวลาโดยเฉลี่ยเพียง 6 วินาทีเท่านั้นในการมองหาความน่าสนใจจากเรซูเม่ของผู้สมัครงาน วิธีที่คุณจะเรียกความสนใจจาก HR ได้ก็คือ ทำให้เรซูเม่ของคุณเป็นเรซูเม่ที่ดีในสายตานายจ้าง ซึ่งมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้
1. ใส่เบอร์โทรศัพท์และอีเมลที่ติดต่อได้เพียงอันเดียวเท่านั้น
          ใส่เบอร์มือถือและอีเมลที่คุณใช้เป็นประจำเพียงหนึ่งเบอร์และหนึ่งอีเมลเท่านั้นที่ด้านบนของเรซูเม่ เพื่อให้นายจ้างเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อต้องการติดต่อนัดสัมภาษณ์งาน และเพื่อให้คุณไม่พลาดการติดต่อหากนายจ้างโทรไปอีกเบอร์ที่คุณไม่ได้ใช้หรืออีเมลที่คุณไม่ได้เช็คอยู่ตลอด
2. ไม่จำเป็นต้องใส่ Career Objective หากมันไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อบริษัท
          การเขียน Career Objective ประมาณว่า “ต้องการประสบการณ์ในสายงาน หรือโอกาสในการพัฒนาทักษะความสามารถ” ไม่ได้ทำให้คุณดูน่าสนใจมากขึ้น ควรตัดมันทิ้ง เพื่อที่คุณจะมีพื้นที่สำหรับโชว์จุดเด่นอย่างอื่นดีกว่า
3. ใส่ Executive Summary แทน Career Objective
          การเขียน Executive Summary เป็นการสรุปโดยย่อเกี่ยวกับตัวคุณ อาทิ จุดเด่น คุณสมบัติ และคุณค่าที่คุณมีต่อบริษัท ประมาณ 3 – 5 ข้อ เพื่อให้นายจ้างรู้จักคุณมากขึ้น
4. ใช้คีย์เวิร์ดเดียวกับที่ระบุในประกาศงาน
          คีย์เวิร์ดที่ระบุในประกาศงานคือคุณสมบัติที่นายจ้างต้องการ คุณจึงควรใช้ คีย์เวิร์ดในเรซูเม่ของคุณให้ตรงกับคีย์เวิร์ดในประกาศงานด้วย เมื่อ HR กวาดตาดูเรซูเม่ของคุณก็จะสะดุดกับคีย์เวิร์ดที่ตรงกับความต้องการของเขาในทันที
5. ให้ข้อมูลบริษัทที่คุณเคยทำงาน
          การที่นายจ้างได้รู้ว่า คุณเคยทำงานในอุตสาหกรรมใด บริษัทขนาดใหญ่หรือเล็กมาก่อน จะช่วยทำให้การตัดสินใจง่ายขึ้น หากคุณต่อยอดในอุตสาหกรรมเดียวกัน อย่าลืมที่จะบอกให้นายจ้างรู้ แต่หากคุณต้องการเปลี่ยนงานไปยังอุตสาหกรรมอื่น อาจเลือกที่จะโฟกัสที่ขนาดของบริษัทแทน
6. ระบุความสำเร็จเป็นข้อ ๆ
          ด้านล่างของประสบการณ์การทำงานในแต่ละที่ ควรบรรยายถึงความสำเร็จที่คุณได้ทำให้กับทีมหรือบริษัทที่ผ่านมา โดยเริ่มจากผลที่ได้ แล้วจึงตามด้วยวิธีการได้มาซื่งผลนั้น เช่น เพิ่มยอดขาย 40% ต่อเดือนโดยการ…” ความยาวประมาณ 2 – 5 ข้อ
7. ประวัติการศึกษาเอาไว้ท้ายสุด
เรซูเม่ที่ดี          หากคุณไม่ใช่นักศึกษาจบใหม่ ควรเน้นที่ประสบการณ์การทำงานเป็นหลัก ส่วนประวัติการศึกษาควรย้ายไปไว้ตอนท้ายของเรซูเม่ และไม่จำเป็นต้องใส่ประวัติการศึกษาระดับมัธยมลงไป
8. ไม่ระบุ “references upon request
          HR รู้ดีอยู่แล้วว่า ผู้สมัครจะให้ข้อมูลบุคคลอ้างอิงก็ต่อเมื่อ HR ร้องขอ จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องใส่ประโยคนี้ลงไปในเรซูเม่ของคุณ อย่าลืมว่า พื้นที่เรซูเม่ของคุณมีค่ามากกว่าจะเสียไปกับสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ใด ๆ

เกร็ดความรู้การเลือกใช้นวม


เกร็ดความรู้การเลือกใช้นวม

เวลาเลือกนวม ไม่ได้เลือกตามน้ำหนักตัวนะครับ การเลือกซื้อนวมต้องเลือกตามวัตถุประสงค์การใช้งาน
ถ้านำไปลงนวม ควรใส่ 16 oz ขึ้นไป และควรเลือกซื้อนวมที่ดีไซน์มาสำหรับการลงนวมค่ะ
เช่น มีล็อกนิ้ว กันนิ้วโป้งซ้นเวลาชกแรงๆ นวมหัวจะป้านๆ เพื่อกระจายแรง ฟองน้ำด้านในจะหนาและค่อนข้างนิ่ม นวมทรงจะยาวๆเลยข้อมือไปนิดนึง เพื่อปกป้องมากขึ้น ถ้าร้านที่คนขายมีความรู้สามารถบอกเค้าไปเลยว่ามาซื้อนวมสำหรับ sparring หรือลงนวมซ้อม เวลาลงนวมควรใส่ เฮดการ์ด กระจับ สนับแข้ง และฟันยางด้วยค่ะ นวมสำหรับลงนวมสังเกตดู ส่วนใหญ่ไม่มี 8oz กับ 10 oz ครับ เริ่มที่ 12 oz
เพราะยัดฟองน้ำเข้าไปเยอะเพื่อความปลอดภัย ผู้ผลิตส่วนใหญ่ทำน้ำหนักต่ำกว่า 12 oz ยากค่ะ
 
และที่ควรจะทำความเข้าใจไว้ก็คือ
นวม 8oz 10 oz 12 oz โดยมากเป็นนวมสำหรับซ้อมทั่วไป เพราะขนาดกำลังดี ใช้ง่าย ค่อนข้างอเนกประสงค์ เลือกเอาตามถนัดค่ะ เวลาเลือกนวมควรจะลองใส่หลังจากพันมือด้วยผ้าพันมือค่ะ
ถ้า 6 oz โดยมากค่อนข้างเล็กเหมาะกับเด็ก
 
ถ้าไปแข่ง เค้าจะใช้นวม 6oz 8oz 10oz เป็นส่วนใหญ่ค่ะ และโดยมากจะเป็นนวมเชือก จะตัวใหญ่ตัวเล็ก จะหญิงหรือจะชาย ก็ต้องใส่นวมขนาดดังว่าค่ะ ตามกฎของการแข่งขัน
 
 
โดยมากใช้สำหรับลงนวมเป็นหลัก หรือพวกที่ต้องการปรับ speed หมัด โดยการสวมนวมหนักๆเวลาซ้อม จะตัวใหญ่ตัวเล็ก จะหญิงหรือชาย ก็ควรใส่นวมขนาดดังที่ว่า ถ้าไม่อยากให้คู่ซ้อมบาดเจ็บ
ดังนั้นไม่เกี่ยวกับขนาดตัว หรือขนาดมือนะครับ เลือกตามการใช้งาน
 
แบ็คชก เป็นนวมที่มีความปลอดภัยรองลงมา เพราะโดยมากฟองน้ำ
 
 
จะบางกว่า อาจมีแค่ขั้นเดียวหรือสองขั้น ราคาถูกกว่า ความซับซ้อนน้อยกว่า ดีไซน์มาสำหรบใช้กับกระสอบ เค้าถึงเรียกว่า Bag Gloves ก็เป็นนวมประเภทหนึ่ง แต่จะสังเกตว่า มีขนาดเล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด หลายเจ้าไม่ได้เรียกเป็นออนซ์ แต่เรียกเป็น M, L, XL ค่ะ นวมแกรปปิ้งไว้ใช้กับ MMA เท่านั้นค่ะ
 
 
ตอนนี้ก็เห็นมีคนซื้อนวมแกรปปิ้งไปซ้อมกับกระสอบ ไปซ้อมมวยไทย เอาแบ็คชกไปซ้อมล่อเป้า
เอานวมเล็กไปลงนวมซ้อม เอานวม sparring ไปซ้อมกับกระสอบ ไปซ้อมล่อเป้า  ไม่มีหลักเกณฑ์ในการใช้ ถามว่าได้มั้ย ก็ได้ครับ เพราะปัจจุบันก็ใช้งานกันตามใจค่ะ แต่ควรเข้าใจไว้ว่า นวมแต่ละประเภท
มันมีการดีไซน์สำหรับการใช้งานแต่ละประเภทครับ เพียงแต่คนทั่วไปไม่ทราบเองมากกว่า

7 วิธีแก้สมองตันในวันที่งานไม่เดิน

วิธีแก้สมองตัน
          เคยรู้สึกไหมว่า บางช่วงของชีวิตที่โดนพายุงานถาโถม โหมกระหน่ำ เดินไปทางไหนก็มีแต่คนฝากให้ทำงานนี้นิด งานโน้นหน่อย และที่หนักสุด ต้องเข้าห้องเย็นไปมีทติ้งกลั่นเอาความรู้ ความสามารถที่มีไปคิดงาน discuss ไอเดียกับเจ้านายจนหมดวัน จะเป็นช่วงที่สมองเบลอตื้อตัน คิดอะไรไม่ค่อยออก ดูเหมือนสมองรวน ๆ ไปสักพัก อันเกิดมาจากการที่ต้องเค้นสมองให้คิดให้จำทุกเรื่องอยู่ตลอดเวลา จริง ๆ ต้องบอกว่า ถ้าใครไม่เคยเป็นเลยคงเป็นคนที่โชคดีมาก หรือไม่ก็เป็นมหาเศรษฐินีที่ไม่ต้องทำงานหนักเลยจึงไม่ต้องใช้ความคิดอะไรมากมายนัก แต่โดยปกติมนุษย์ออฟฟิศ ชีวิตชิค ๆ แบบชาวเราคงหนีไม่รอดอาการสมองตันเป็นแน่ แต่ถ้าเกิดความรู้สึกแบบนั้นเมื่อไหร่ก็ไม่ต้องกังวล ลองทำตาม 7 ข้อด้านล่างนี้คาดว่าจะช่วยแก้ปัญหาสมองเออเร่อได้แน่นอน
1. คิดไม่ออกต้องเรียงลำดับความคิด
          เวลาคิดอะไรไม่ออก สมองมันตีบมันตัน อาจเป็นเพราะวิธีคิดเราผิด หรือไม่เข้าใจโจทย์ที่ได้รับมาอย่างแท้จริง ก็ต้องทวนโจทย์ อาจจะไปถามผู้ที่สั่งงานคุณมาว่าที่เค้าต้องการจากคุณคืออะไรกันแน่ แล้วมาเรียงลำดับความคิดใหม่อีกทีว่า เอ๊ะ ต้องใช้วิธีคิดอย่างไร กลยุทธ์ไหนจึงจะตีโจทย์แตกกันแน่ สูดหายใจลึก ๆ กำหนดลมปราณ แล้วลองใหม่อีกตั้งค่ะ
2. คิดไม่ออกต้องเม้าท์มอย
          ถ้าสมองอ่อนล้ามาก คิดต่อไปไม่ไหวแล้ว ก็ขอให้หยุดคิดจะดีกว่า ฝืนต่อไปก็คงคิดไม่ออก ลองเดินออกจากโต๊ะไปเม้าท์มอยกับเพื่อนร่วมงานแถว ๆ นั้นดูบ้าง อาจเริ่มด้วยบทสนทนาทั่ว ๆ ไป เน้นเรื่องที่เบาสมองเป็นหลัก แล้วค่อยตบท้ายด้วยการถามหาไอเดียที่เกี่ยวข้อง ที่คุณอาจเอามาต่อยอดความคิดในเรื่องที่ยังค้างคาอยู่ก็ไม่เสียหลาย หลายหัวช่วยกันคิด ดีกว่านั่งหมกมุ่นอยู่คนเดียวเป็นไหน ๆ อยู่แล้ว
3. คิดไม่ออกต้องออกไปหาขนมขบเคี้ยว
          เวลาใช้สมองมาก ๆ ร่างกายจะต้องการพลังงานเป็นจำนวนมาก เพื่อสังเคราะห์สารอาหารหล่อเลี้ยงสมอง บ่อยครั้งในระหว่างการประชุมที่เคร่งเครียดเรา แล้วเราได้ยินเสียงท้องร้องโครกครากจากใครบางคน หรือแม้กระทั่งของตัวเอง ถ้าคิดไม่ออกจะทนทรมานอยู่ไย รีบไปหาของมากระแทกปากไว ๆ จะมีประโยชน์กว่า เคยได้ยินมั้ยจ๊ะว่า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง
4. คิดไม่ออกต้องท่องเนต เล่นโซเชียล
          แหล่งรวมของการเรียนรู้ และไอเดียขนาดใหญ่สมัยนี้ คงหนีไม่พ้นอินเตอร์เนต และโซเชี่ยลมีเดียต่าง ๆ ที่มีเรื่องราวให้เราเสพมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวเบาสมองวาไรตี้ จนไปถึงเรื่องหนัก ๆ เปี่ยมสาระ ดังนั้นถ้าเราสมองตีบสมองตัน ก็เลื่อนเม้าท์ไปเข้าเนท หาอะไรดูผ่อนคลายให้อมยิ้ม หรือหาไอเดียต่อยอดแนวคิดที่เรากำลังคิดอยู่ก็ได้ทั้งนั้น ลองโพสท์ถามไอเดียเพื่อนในโซเชียลดูก็ได้ เผื่ออาจจะได้ความคิดสด ใหม่ แบบที่คิดไม่ถึงกันเลยทีเดียว
5. คิดไม่ออกต้องออกไปหาแรงบันดาลใจ
          ถ้า deadline งานคุณยังพอมีเวลา ลองออกไปแตะขอบฟ้าแบบที่พี่ตูน บอดี้สแลม แนะนำบ้างจะเป็นไร หลาย ๆ ครั้งการนั่งจ่อมเจ่าอยู่ที่เดิมก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สมองตันเช่นกัน ลองเดินออกไปมองฟ้า มองน้ำ ไปซื้อกาแฟ หรือไปพักผ่อนนอกโต๊ะทำงาน หรือเดินออกไปนอกออฟฟิศสักพัก สมองอาจลื่นไหลขึ้น แต่อย่าไปนานจนโดนดุล่ะ ควบคุมเวลาของตัวเองให้ดีด้วย จะได้ไม่มีปัญหาตามมาทีหลัง
6. คิดไม่ออกต้องออกกำลังกาย
          การออกกำลังกายได้รับการวิจัยจากหลายสถาบันมาแล้วทั่วโลกว่าทำให้เลือดสูบฉีด อะดรีนาลีนหลั่งไหล สมองแล่นไว ดังนั้นถ้าคิดไม่ออก ไอเดียฝืดเคือง หยิบรองเท้าวิ่งขึ้นมา แล้วออกวิ่งพอเหนื่อย หรือจะว่ายน้ำ โยคะ ฝึกสมาธิทำได้ทั้งนั้น เอาที่ชอบ ๆ ทำให้เหมือนประมาณว่า พักสมองไม่ต้องคิดเรื่องงานไปเลยสักชั่วโมง สองชั่วโมงแล้วไปออกกำลังกาย เชื่อสิ ไอเดียจะแล่นปรู้ดปร้าดเลยทีเดียว
7. คิดไม่ออกต้องหยุดใช้เวลากับตัวเองให้มาก
          เวลาคิดไม่ออก อย่าหมกมุ่น เวลาสมองตัน ก็ต้องพยายามทำให้สมองโล่ง ๆ อย่าไปกดดันตัวเองอะไรขนาดนั้น ยิ่งคิดวนไปวนมายิ่งคิดไม่ออก ถ้าเริ่มรู้สึกว่าใช้เวลากับอะไรนานเกินไปให้หยุดคิด แล้วหันเหความสนใจไปทำอย่างอื่นสักพักค่อยกลับมาทำต่อจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า พักสักนิด ความคิดมาแน่นอน

เขียน Resume สมัครงาน Maketing ให้โดนใจนายจ้าง

เขียนเรซูเม่สมัครงาน marketing          การเขียนเรซูเม่ภาษาอังกฤษใครว่ายากหากเรารู้เทคนิค คนหางานหลายคนรู้สึกว่าการเขียนเรซูเม่โดยเฉพาะเรซูเม่ภาษาอังกฤษด้วยแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องยากไปกันใหญ่ เพราะเราต้องนำประวัติส่วนตัว ประวัติการศึกษา ประสบการณ์ในมหาวิทยาลัย ประวัติการทำงาน ทักษะในการทำงาน และความสามารถอื่น ๆ มารวมเข้าไว้ด้วยกันในกระดาษแผ่นเดียว อีกทั้งยังต้องทำให้เรซูเม่ของเราโดดเด่นกว่าคนอื่น ๆ เพื่อให้เรามีโอกาสได้งานทำมากกว่าผู้หางานคนอื่น
          งาน Marketing เป็นหนึ่งในงานยอดนิยมที่ทุกคนให้ความสนใจ และมีการแข่งขันค่อนข้างสูง ผู้หางานที่ต้องการสมัครงานในสายงานการตลาดควรเตรียมความพร้อมตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็น การเขียนเรซูเม่ การเตรียมตัวตอบคำถามสัมภาษณ์งาน เป็นต้น ในสายงานการตลาด นายจ้างมักจะให้ความสำคัญกับผู้สมัครงานที่มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษมากกว่า ดังนั้น เรซูเม่สมัครงานที่จะสร้างความประทับใจนายจ้าง คือ เรซูเม่ภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ สามารถดึงดูดความสนใจของนายจ้างให้เกิดความอยากรู้เกี่ยวกับตัวผู้สมัครงานได้
          ในการหางาน การเขียนเรซูเม่ภาษาอังกฤษเพื่อใช้ในการสมัครงาน Marketing จะไม่เป็นเรื่องยากอีกต่อไป หากเรารู้จักวิธีการเขียนเรซูเม่ที่ถูกต้อง มีเทคนิคใดบ้างที่ช่วยให้เราเขียน resume ภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีโอกาสในการได้งานทำมากกว่าผู้สมัครงานคนอื่น ๆ
เขียนเรซูเม่เหมือนโปรโมทสินค้า
          ในการเขียนเรซูเม่ภาษาอังกฤษเพื่อสมัครงาน Marketing ให้นึกถึงประโยคภาษาอังกฤษที่ว่า You are the Product เพื่อให้เรานึกถึงขั้นตอนการนำเสนอตัวเองในเรซูเม่ว่าต้องเริ่มต้นอย่างไร โดยมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การเขียนแนะนำตัวเองให้เหมือนเราเป็นสินค้าหนึ่งชิ้นที่ต้องการโปรโมท เสนอข้อดีให้มีมากกว่าข้อเสีย เหมือนกับว่าเรากำลังโฆษณาสินค้าให้เป็นที่จดจำ ให้นำเทคนิคและวิธีการในการทำงาน Marketingมาใช้ในการเขียนเรซูเม่ ในฐานะที่ทำงานทางด้านนี้ ไม่ว่าจะเป็น การเขียนแผนงานการตลาด การเขียนข้อความโปรโมท ตลอดจนการทำการวิจัยการตลาด ประสบการณ์เหล่านี้จะช่วยให้เราเขียนเรซูม่ได้น่าสนใจมากขึ้น เพราะนายจ้างไม่เพียงแต่จะเห็นความเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ของเราเท่านั้น แต่เขายังจะได้เห็นทักษะด้านการเขียนของเราว่ามีความน่าสนใจเพียงใด
รู้ว่าเราจะเขียนให้ใครอ่าน
          ก่อนที่จะเริ่มต้นสร้างเรซูเม่ เราควรรู้ก่อนว่าเรากำลังจะเขียนเรซูเม่เพื่อสมัครงานอะไร และรูปแบบของบริษัทมีลักษณะเช่นไร บริษัทมีขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ เราจึงควรถามตัวเองก่อนว่าเรารู้สึกบริษัทที่เราจะไปสมัครงานมากขนาดไหน Know you audience เป็นคำถามที่จะช่วยให้เราเขียนเรซูเม่สมัครงานการตลาดได้มีเป้าหมายมากขึ้น การค้นคว้าและหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทที่เราจะสมัครงานจึงมีความสำคัญไม่น้อย เพราะไม่เพียงแต่เราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับบริษัทนั้น ๆ แต่เขายังจะได้รู้ด้วยว่าเรามีวิธีการที่หาข้อมูลได้น่าสนใจเพียงใด เมื่อเขาถามเราว่ารู้เกี่ยวกับบริษัทของเขามากน้อยเพียงใด
เขียนอย่างมีเป้าหมาย
          ในการเขียนเรซูเม่เพื่อสมัครงาน Marketing นั้น เราต้องสื่อสารออกไปให้ชัดเจน ตรงประเด็น โดยเริ่มต้นจากการวางเป้าหมายที่ชัดเจนในการเขียนเรซูเม่ หากนึกไม่ออกว่าควรจะเริ่มต้นอย่างไร ให้นึกถึงคำว่า Make a clear strategy เพื่อช่วยให้เราวางเป้าหมายในการเขียนได้เป็นรูปธรรม หลังจากที่เรารู้แล้วว่าเราจะเขียนเรซูเม่ให้ใครอ่าน หรือรู้แล้วว่าบริษัทมีรูปแบบการทำงานอย่างไร เราก็จะต่อยอดไปสู่ความสำเร็จในการเขียนเรซูเม่ได้ง่ายขึ้น เพียงแต่เราต้องใช้การเขียนให้มีทักษะมากขึ้น ไม่ควรยึดรูปแบบเดิม ๆ จนมากเกินไป ให้นำเอาวิธีการที่เกี่ยวกับงานการตลาดมาร่วมด้วยก็จะยิ่งทำให้เรซูเม่ของเราไม่เหมือนใคร เพราะคนที่ทำงานด้านการตลาด แม้ว่าจะมีหลักการที่คล้ายกัน แต่วิธีการย่อมแตกต่างกันไปตามประสบการณ์
เขียนให้ละเอียดแต่อย่ามากเกินไป
          บางคนเข้าใจว่าการเขียนเรซูเม่นั้นต้องใส่รายละเอียดทั้งหมดที่เรามี แต่ในความเป็นจริงแล้ว การเขียนเรซูเม่สมัครงานการตลาดนั้นเขียนเท่าที่จำเป็น เก็บข้อมูลได้ครบถ้วนก็เพียงพอแล้ว ให้นึกถึงประโยคภาษาอังกฤษที่กล่าวว่า This is a brochure not a catalog ดังนั้น เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความสนใจ และไม่เกิดความเบื่อหน่าย เราก็ไม่ควรเขียนเรซูเม่ให้ยาวเกินไป เพราะการเขียนตัวหนังสือลงไปหลาย ๆ ย่อหน้า จะทำให้ไม่น่าสนใจ
          หัวใจสำคัญของการเขียนเรซูเม่ คือ ความเรียบง่าย และชัดเจน ไม่ว่าจะเขียนเป็นภาษาใดก็ตาม โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การนำเสนอจุดเด่น คุณสมบัติ และความสามารถของคนหางานไปสู่นายจ้าง เพื่อให้เกิดการพิจารณาตัดสินใจว่าจะเลือกเราเข้ามาสัมภาษณ์ หรือทำการทดสอบต่อไปหรือไม่ การเขียนเรซูเม่ภาษาอังกฤษที่ดีจะเป็นตัวช่วยหนึ่งที่ทำให้เราได้รับการคัดเลือกจากนายจ้างเร็วขึ้น หากเรซูเม่ของเรามีความน่าสนใจมากพอ

เคล็ดลับการเรียน Resume ภาษาอังกฤษ

เขียน resume ภาษาอังกฤษ
          คุณคืออีกหนึ่งคนที่เชื่อว่าการเขียน Resume ภาษาอังกฤษยากกว่าฉบับภาษาไทยหรือไม่? จริง ๆ แล้วนี่อาจจะไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด เพราะโครงสร้างของ Resume ไม่ว่าจะภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก็ไม่แตกต่างกันนัก สิ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษมักจะเป็นการแปลเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษให้ถูกต้องครบถ้วนเป็นหลัก หากคุณเป็นคนที่มี Resume ฉบับภาษาไทยอยู่แล้วยิ่งสามารถต่อยอดได้อย่างรวดเร็วค่ะ
เคล็ดลับทั่วไปการเขียน Resume
          การจะเขียน Resume ให้ได้ดีนั้นย่อมต้องเริ่มจากการรวบรวมข้อมูลก่อน ตั้งแต่ข้อมูลส่วนตัว ประวัติการศึกษา การอบรม ประวัติการทำงาน ความสามารถพิเศษ บุคคลอ้างอิง จากนั้นก็เลือกว่าจะใช้รูปแบบใด แต่โดยทั่วไปรูปแบบที่เรียบง่าย สรุปออกมาเป็นข้อๆจะเป็นทางเลือกที่นิยมกันมากที่สุด ต่อมาให้เลือกคุณสมบัติที่เป็นจุดเด่นของคุณขึ้นมาเขียนไว้เป็นลำดับต้นๆ ไม่เน้นการบรรยายยาวเหยียดแต่ให้สรุปเป็นจุดเด่นสั้นๆแต่ละข้อ ให้นึกเสมอว่าผู้คัดเลือกต้องอ่าน Resume  ของผู้สมัครเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการจัดรูปแบบจึงควรให้อ่านง่าย สบายตา มีการแบ่งแต่ละส่วนของข้อมูลให้ชัดเจน
เคล็ดลับการเขียน Resume ภาษาอังกฤษ
          หลังจากได้ข้อมูลและรูปแบบในการเขียนแล้ว ก็ถึงเวลาลงมือเขียนจริง สำหรับข้อมูลทั่วไปอย่างข้อมูลส่วนตัวและการศึกษาคงไม่ใช่ปัญหามากนัก ขอเพียงให้ระวังการสะกดชื่อเฉพาะและการใช้อักษรตัวพิมพ์เล็กพิมพ์ใหญ่ให้ถูกต้อง แต่ในส่วนของคุณสมบัติและความสามารถต่างๆ นั้นหลายคนอาจจะรู้สึกว่าไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี วันนี้เราจึงมีตัวอย่างรูปประโยคต่างๆมาให้นำไปปรับใช้กันค่ะ
ตัวอย่างประโยคด้านคุณสมบัติและประสบการณ์ทำงาน
  • High level computer skills including Excel, Word and Powerpoint
  • Skilled at _____ (ความสามารถต่างๆ เช่น working with people with diverse backgrounds)
  • Proficient in ______ (ภาษา ความสามารถทางเทคนิคต่างๆ เช่น computer programming/ scripts)
  • A skilled communicator; able to deliver complex information to diverse audience
  • Quick learner, eager to further my _____ knowledge and skills (ความสามารถ)
  • Knowledgeable of _____ (หัวข้อที่มีความรู้เป็นพิเศษ เช่น Employment law/Labor law)
  • Specialist in _____ (หัวข้อที่มีความรู้เป็นพิเศษ เช่น the development of firmware/software)
  • Competent at _____ (หัวข้อที่มีความรู้ความสามารถเป็นพิเศษ เช่น managing responsibilities in a high-volume atmosphere)
  • Excellent written and verbal communication skills
  • Good command of written and spoken _____ (ภาษาต่างประเทศ)
  • Fluent in _____ (ภาษาต่างประเทศ)
  • Five years experience in _________(สายงาน-ตำแหน่ง)
  • Three years experience working in the_______ (สายงาน) industry
  • More than six years of _________(สายงาน-ตำแหน่ง) experience
  • More than five years of _________(สายงาน-ตำแหน่ง) background
  • Extensive background in _______ (สายงาน) 
          นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างประโยคอีกมากมายที่สามารถหาได้อย่างง่ายดายจากอินเตอร์เน็ต โดยแนะนำให้ใช้ข้อมูลจากเวปของต่างประเทศโดยตรงค่ะ ข้อสังเกตคือ ไม่จำเป็นต้องเขียนให้เป็นประโยคสมบูรณ์เสมอไป แต่ใจความต้องครบถ้วน และควรหลีกเลี่ยงการใช้เวปในการแปล เนื่องจากบางครั้งอาจเกิดความคลาดเคลื่อนทางภาษาได้ หากไม่มั่นใจ ควรปรึกษาคนรู้จักที่มีความรู้ในภาษาอังกฤษให้ช่วยดูด้วยอีกแรงจะเป็นการดีที่สุดค่ะ

Preposition

Preposition หรือคำบุพบทคือ คำที่ใช้เชื่อมคำนามกับคำนาม หรือเชื่อมคำนามกับ
วลี/ประโยค โดยจะมีอยู่ประมาณ 40 กว่าคำที่ใช้บ่อย และการใช้ preposition จะแบ่ง
ออกเป็น 3 วิธี ดังนี้
    1. การใช้ preposition ตามความหมายของ preposition
    2. การใช้ preposition แสดงวันที่, วัน, เดือน, ปี และเวลา
    3. การใช้ preposition แบบ collocation
     ท่านผู้อ่านคงเคยเรียนรู้คำบุพบทแบบแบ่งออกเป็นคำบุพบทแสดงเวลา/สถานที่/ทิศทาง/
ฯลฯ ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่ไม่ค่อยได้ผล เพราะผู้ใช้ต้องมาเสียเวลานั่งนึกก่อนว่า คำบุพบท
แสดงเวลา/สถานที่/ทิศทาง/ฯลฯ นั้นมีอะไรบ้าง ทำให้ไม่ทันกิน ก็เลยไม่ได้พูด ไม่ได้ใช้กัน
เสียที
     ส่วนการศึกษาการใช้ preposition ตามการแบ่งด้วยวิธีทั้ง 3 นี้ จะมีประสิทธิภาพและ
ประสิทธิผลกว่ามาก เพราะเป็นวิธีการใช้ที่เป็นธรรมชาติในแบบที่เจ้าของภาษาใช้กัน นั่น
คือเวลาเราจะใช้ก็ใช้ออกมาได้เองโดยอัตโนมัติ เหมือนกับว่า preposition เหล่านี้ติดอยู่
ที่ริมฝึปากเราอยู่ตลอดเวลานั่นเอง ดังท่านผู้อ่านจะได้เห็นต่อไป
   1. การใช้ preposition ตามความหมายของ preposition
    Preposition แต่ละคำจะมีความหมายประจำตัวของตัวเอง และเราสามารถใช้ไปตาม
ความหมายนั้นๆได้ ดังนั้น จึงขอให้ท่านผู้อ่านท่องจำความหมายของ preposition ดังต่อ
ไปนี้ให้ขึ้นใจ พร้อมทั้งดูประโยคตัวอย่างประกอบไปด้วย แล้วท่านผู้อ่านก็จะเข้าใจการใช้
preposition แต่ละคำอย่างกระจ่างแจ้ง

     on = บนพื้นผิวของบางสิ่ง
      
–The glass is on the table.
     in = ใน/ภายในพื้นที่ของบางสิ่ง; ไปในบางสิ่ง; ในช่วงระยะเวลาหนึ่งๆ
       –He is in his room.
       –I live in Thailand.
       –She is in hospital/in the hospital–เจ้าหล่อนเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล
       –Put it  in that box.

       –Can you do this in a week? 
     
at = ที่ตำแหน่งใดๆ; ณ สถานที่ใดๆ; ณ เวลาใดๆ; ณ อายุใดๆ
       –Put it down at that corner.
       –They live at 100 Serithai Road. 
       –He studies at a university.
       –She works at a hospital. 
       –He is at a hospital to visit his friend working there. 
       –I will leave 
at 2 o’clock.
       –He died 
at 92.
   In และ At ในการใช้เกี่ยวกับสถานที่
            เราจะเห็นว่า in และ at ต่างก็ใช้กับ ‘สถานที่’ ได้ แต่การใช้จะแตกต่างกันดังนี้ 
            In มีความหมายว่า ‘ใน/ภายในพื้นที่ของบางสิ่ง’
            In จึงเน้นการใช้กับสิ่งที่มีพื้นที่และเราก็ได้เข้าไปอยู่ในพื้นที่นั้น เช่น in the
       room, in prison, in the building, in Siam Square, in the community, 
       in the area, 
in the province, in the country, in the sky, in the sea,
       in the ocean,
 in the world, in space และ in the universe เป็นต้น

สรุปก็คือ เราใช้ in เมื่อการใช้เป็นเรื่องเกี่ยวกับพื้นที่และเราได้เข้าไปอยู่ใน
       พื้นที่นั้น เช่น
             –We have arrived in Bangkok.
                พวกเราได้เดินทางมาถึงในพื้นที่ของกรุงเทพฯแล้ว
             –Thailand is a country in Asia.
                ไทยเป็นประเทศหนึ่งในทวีปเอเซีย
             ส่วน at มีความหมายว่า ‘ณ สถานที่ใดๆ’
             At จึงเป็นการใช้ที่เน้นที่ต้วสถานที่ ให้ความสำคัญกับตัวสถานที่ ไม่ได้เน้นการ
       เข้าไปอยู่ในพื้นที่ของสถานที่นั้นๆ แม้ว่าจริงๆแล้วเราจะได้เข้าไปอยู่ในพื้นที่ของ
       สถานที่นั้นๆแล้วก็ตาม เช่น at home, at the office, at the airport, at
       Centre Point, at Queen Sirikit Convention Center, at the exhibition
       hall, 
at the university เป็นต้น
            สรุปก็คือ เราใช้ at เมื่อการใช้เป็นการเน้นที่ตัวสถานที่ ให้ความสำคัญกับตัว
       สถานที่ไม่ใช่พื้นที่ของสถานที่นั้นๆ เช่น
             –We have arrived at the airport.
                พวกเราได้เดินทางมาถึง ณ ตัวสนามบินแล้ว
             –I studied at Ramkhamhaeng University.
                ผมศึกษาอยู่ ณ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
         –She is 20 and works in the fast food industry, one at a 
          burger restaurant and one at a pizza place. (The Guardian)     
             เจ้าหล่อนอายุ 20 และทำงานอยู่ในภาคอุตสาหกรรมอาหาร แห่งหนึ่งคือทำอยู่ ณ ร้าน
             อาหารขายเบอร์เกอร์ และอีกแห่งหนึ่งทำอยู่ ณ ร้านขายพิทซ่ะ
         –I was a student in the Department of Government at the
         Faculty of Political Science of Chulalongkorn University. And
         she was a physics student studying in the Faculty of Science
         at Mahidol University.
            ผมเป็นนิสิตในภาควิชาการปกครอง ณ คณะรัฐศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วน   
            เจ้าหล่อนเป็นนักศึกษาฟิสิกซ์ที่กำลังศึกษาในคณะวิทยาศาสตร์
 ณ มหาวิทยาลัยมหิดล
      กลเม็ดการใช้ in และ at ที่เกี่ยวกับสถานที่ในเชิงปฏิบัติ
            สถานที่ที่มีพื้นที่ไม่กว้างมากนัก เช่น บ้าน, สำนักงาน, อาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง
       ต่างๆ ฯลฯ สามารถใช้ได้กับทั้ง in และ at อันขึ้นอยู่กับสถานการณ์การใช้ของเราว่า
       เราต้องการเน้นที่พื้นที่หรือเน้นที่ตัวสถานที่นั้น เช่น
       –in the house/at home
       –in/at the office
       –in/at the building

             –in/at a hotel
       –in/at the Faculty of Political Science
             แต่ถ้าเป็นสถานที่ที่มีพื้นที่กว้างมากตั้งแต่ระดับชุมชน, หมู่บ้าน, ตำบล, อำเภอ,
       จังหวัด, ประเทศ, ทวีป, ทะเล/มหาสมุทร, โลก, อวกาศ, ไปจนถึงระดับจักรวาล ก็จะ
       ใช้กับ in เสมอ
at the back of = ที่อยู่ตรงส่วนท้าย/แถวสุดท้ายของ
       –His photo is at the back of his book. 
      –He sat at the back of the classroom.
    at the front of = ที่อยู่ตรงส่วนหน้า/แถวหน้าสุดของ
      –Her news is at the front of the newspaper.
       –She sat at the front of the classroom.


    behind = ที่อยู่ถัดไปจากด้านหลังของ
      –The car park is behind the bank. 
    in front of = ที่อยู่ถัดไปจากด้านหน้าของ; ตรงหน้า
       –Flagpole is in front of the school. 
       –My teacher stands in front of the classroom.
       –The accident occurred in front of me.
    above = ที่อยู่สูงขึ้นไปจาก(บางสิ่ง)
       –The sun is above my head.

    over = เหนือ; คลุมอยู่เหนือ; ด้านบนของ(บางสิ่ง)
       –The blanket is still over my kid.
    about = เกี่ยวกับ; ประมาณ (adverb)
       –This website is about English.
       –The service may cost you about 1,000 baht.

    across = ข้าม
      –I walked across the street. 
    against = ตัดกับ/พิงกับ; ต่อต้าน
      –The white tie is against the black shirt.
       –The bike is against the wall.
       –Are you against me?

    along = (เดิน/วิ่ง/แล่น)ไปตาม
      –I’m walking along the road. 
    as = ในฐานะที่เป็น
       –She works as a doctor.
among = ท่ามกลางสิ่งของหลายๆสิ่ง; ท่ามกลางบุคคลหลายๆคน
      –I’m being among the people.
    between = อยู่ระหว่างสิ่งของ 2 สิ่งขึ้นไป; อยู่ระหว่างบุคคล 2 คนขึ้นไป
      –I sat between 2 women.

    away from = ออกมาจาก; ออกไปจาก; ห่างออกมาจาก; ห่างออกไปจาก
       –I’m moving away from him.
     
out of = ออกมาจาก; ออกไปจาก; ห่างออกมาจาก; ห่างออกไปจาก
       –A beautiful woman got out of a car.
       –Shoppers’re pouring out of a shopping mall.

    from = จาก(สถานที่ที่เราอยู่); จาก(คนที่อยู่ห่างออกไป/สถานที่ที่อยู่ห่างออกไป)
       –From here I can see the view clearly.
       –The email is sent from my friend.
    before = ก่อน
      –I will come back before noon.
    after = หลัง
      –I will come back after noon.
    below = ที่อยู่ต่ำลงไปจาก(บางสิ่ง); ที่อยู่ต่ำลงมาจาก(บางสิ่ง)
      –There is a brook below this village.
       –The SET Index dropped below 1000 for the first time since 2010.

    under = ใต้
      –My dog was under the blanket with me.

    by = เคียงข้างกับ; โดย; ราวๆ(เวลา); (จับ/สัมผัส/ฉุด)ที่ส่วนใดๆ(ของร่างกาย)
       –He always stands by me.
       –English website by me and my sister.
       –I will come back by 6 o’clock.
       –He took me by my hand.

     beyond = เกินขอบเขตของ(บางสิ่ง)ออกไป
      –You are being beyond the limit.
     down = (เดิน/วิ่ง/แล่น)ไปตาม; ลง(บันได/จากที่สูง)
       –I’m walking down the road.
       –The cat’s climbing down the tree.

    up = ขึ้น(บันได/ไปที่สูง)
       –I’m stepping up the stairs.
    during/ดุริง = ช่วงระหว่างเวลาใดๆ
      –I’ll be in the country during this weekend.
    for = สำหรับ; เพื่อ
       –This is for you.
       –I’ll do it for you.
    inside = ข้างใน
       –I’m inside the bookstore. 

    outside = ข้างนอก
      –I’m outside the shopping mall.
    into = มุ่งไปยัง; มุ่งมายัง; ไปใน (into มีนัยว่าได้สัมผัสกับสิ่งนั้นแล้ว)
      –This bus’s moving into town.
       –He walked into the court without any glance at relatives’ bench.
    
           (BBC)

    to = ไปยัง/มายัง
      –This bus’s going to Silom.
    toward(s) = ตรงไปยังทิศทางของ
       –We’re moving toward the right direction.
    near = ใกล้กับ
      –I live near 2 shopping malls.
    off = (ลง/หลุด/หล่น)จาก
      –A man got off the bus.
       –The car skidded off the road–รถเสียหลักไถลหลุดออกไปจากถนน.
       –He fell off the ladder.

    onto/upon = ไปบน
      –Don’t step onto/upon that mud.
    opposite = ตรงข้ามกับ
      –I sat opposite a pretty girl on a sky train. 
    past = (เดิน/วิ่ง/แล่น)ผ่าน
      –A cat ran past me. 
    through = ลอดผ่าน; แหวกผ่าน
       –My dog jumped through the car door onto the back seat.
       –The train is moving through the tunnel.
       –A superstar is walking through the crowd.

    throughout = ในทุกๆส่วนของสถานที่ใดๆ; ตลอดทั้ง(วัน/คืน/ปี/ชีวิต)
       –He used to travel throughout the world.
       –You will suffer throughout your life if you don’t do that.

    with = กับ; ด้วย; ที่มี(บางสิ่ง)ติดตัวมาด้วย
       –Use this knife with that fork.
       –She does it with her own hand.
       –My dad came back with something in his briefcase.

    within = ภายในกำหนดของเวลาใดๆ; ภายในระยะทางใดๆ
       –He’ll come back within 10 minutes.
      –My office is within 100 metres of my house.
    without = โดยปราศจาก
      –Why did you do it without my permission?
    around/round
       1. ไปรอบๆ: We run around the park.
                       He is travelling around the world.

      2. ลัดเลาะตามแนวของ: We walk around the foot of the hill.
      3. อ้อมWe should walk around the field.
       4. อ้อมจากตรงนี้ไปที่The entrance is 
around the front.


2. การใช้ preposition แสดงวันที่, วัน, เดือน, ปี และเวลา
    วันที่, วัน, เดือน, ปี และเวลาในภาษาอังกฤษจะมีการใช้ preposition ที่เป็นเฉพาะดัง
ต่อไปนี้                                                                       
2.1 วัน 
   –on Monday
   –on Wednesday
   –on Saturday
                                               
2.2 วันสำคัญวันใดวันหนึ่งเป็นการเฉพาะ 
   –on New Year’s day = ในวันขึ้นปีใหม่ 
    –on Father’s day = ในวันพ่อ
    –on Buddhist Lent day = ในวันเข้าพรรษา
   –on Christmas Day = ในวันคริสต์เมิส
    –on Halloween = ในวันแฮะโลอีน
    ถ้าเป็นการกล่าวถึงวันสำคัญทั่ว ๆ ไป ที่มิได้เน้นเป็นการเฉพาะว่าเป็นวันใดวันหนึ่งก็จะ
ใช้กับ at เช่น
   –at New Year = ตอนปีใหม่
    –at Christmas = ตอนคริสต์เมิส
   –at Buddhist Lent = ตอนเข้าพรรษา
                                                
2.3 ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของวัน 
   –on Monday morning 
   –on Thursday afternoon
   –on Sunday evening 
   –in the morning 
   –in the afternoon
   –in the evening
                                                
2.4 เดือน   
   –in February 
   –in July 
  
 –in September
                                                 
2.5 ปี
ภาษาเขียน (ในวงเล็บคือภาษาพูด)     –in 1992 (อิน ไนนทีนไนนตีทู)
    –in 2002  (อิน ทูธาวเซิน แอนด์ ทู) ตรงตัวอักษร ‘ธ’ ให้แลบลิ้นออกไปแตะที่ปลายฟันบนด้วย 
    –in 2019 (อิน ทเว็นตี ไนนทีน)
2.6 ฤดูกาล          
    –in the rainy season
–in the cold season (ฤดูหนาวเมืองไทย ถ้าเป็นฤดูหนาวในประเทศตะวันตกจะใช้ว่า in the winter)
    –in the summer

2.7 เวลา
   
–at noon 
   
–at six o’clock
   
–at/on weekend                                
2.8 วันที่และเดือน 
ภาษาเขียน  (ในวงเล็บคือภาษาพูด) 
      
–on 1 February (อ็อน เฟะบัวรี เธอะ เฟอร์สท์)
      
–on 8 July (อ็อน จุไล ธิ เอทธ)
    –on 26 September (อ็อน เซ็บเท็มเบอะ เธอะ ทเว็นตีซิคธ)
                                                
2.9 วันที่, เดือน และปี 
ภาษาเขียน (ในวงเล็บคือภาษาพูด)
    –on 1 February 1992 (อ็อน เฟะบัวรี เธอะ เฟอร์สท์ ไนนทีนไนนตีทู)
    –on 8 July 2002 (อ็อน จุไล ธิ เอทธ ทูธาวเซิน แอนด์ ทู)
    –on 26 September 2019 (อ็อน เซ็บเท็มเบอะ เธอะ ทเว็นตีซิคธ ทเว็นตี ไนนทีน)

หมายเหตุ การใช้ในข้อ 2.8 และ 2.9 เป็นการใช้แบบ British English ถ้าเป็นการใช้
                แบบ American English จะเอาวันที่มาไว้หลังเดือน แล้วตามด้วยเครื่อง
                หมาย comma (,) ในกรณีที่มีปี ค.ศ. ตามมา เช่น 
on February 1 และ
                
on February 1, 1992 เป็นต้น ส่วนภาษาพูดก็จะใช้เหมือนกับ
                แบบ British English
                                 
2.10 วันที่, วัน, เดือน และปี 

   ภาษาเขียน

   –on Monday 1, February 1992 
   –on Wednesday 7, July 2002
   –on Saturday 26, September 2019

   อนึ่ง การใช้ในข้อนี้นิยมใช้ในภาษาเขียนเท่านั้น

              3. การใช้ preposition แบบ collocation
    การใช้ preposition แบบ collocation (เคาะเลอะเคเชิน) ก็คือ preposition ที่
ถูกกำหนดมาให้ใช้คู่กับคำนามคำใดเป็นการเฉพาะ และให้ collocation นั้น ๆ มีความ
หมายที่เป็นเฉพาะ เช่น on the Internet จะมีความหมายเฉพาะว่า ‘เข้าไปใช้งานใน
อินเทอะร์เน็ท’ ดังนั้น เมื่อเราต้องการใช้คำว่า the Internet ในความหมายว่า ‘เข้าไป
ใช้งานในอินเทอะร์เน็ท’ เราก็ต้องใช้ว่า on the Internet

    Preposition แบบ collocation นี้มีอยู่เป็นจำนวนมาก เราจึงจำเป็นต้องค่อย ๆ จด
จำ Preposition แบบ collocation ไปวันละคำสองคำ ซึ่งวิธีการนี้ก็เป็นวิธีการเดียวกับ
ที่เจ้าของภาษาใช้เช่นกัน

    ใน website นี้จะลง preposition แบบ collocation ไว้ให้จำนวนหนึ่ง เท่าที่พื้นที่
ของ website จะอำนวยให้

    Preposition แบบ collocation แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1) preposition + noun
และ 2) noun + preposition ดังนี้

1. Preposition + noun ปุ่มลิ้งค์ไป facebook
At   
       –at the cinema = ฉายอยู่ที่โรงภาพยนตร์ 
       –at night = เวลากลางคืน

       –at sea = อยู่บนเรือที่เดินทางอยู่ในทะเล
       –at the end = ณ ตอนจบ; ณ ตอนสุดท้าย
       –at work = ทำงานอยู่
       –at Book Fair = ณ งานมหกรรมหนังสือ
       –at the age of = ณ ตอนอายุ....
       –at 80 kilometres an hour = ณ ความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
       –at risk = ณ สภาพที่เสี่ยงต่อการได้รับอันตราย
–at his best = ณ ช่วงที่ดีที่สุดของเขา 
   By
       –by credit card = (จ่ายเงิน)ด้วยบัตรเคระดิท 
       –by cheque = (จ่ายเงิน)ด้วยเช็ค
       –by phone = (ติดต่อสื่อสารกัน)ด้วยโทรศัพท์ 
       –by email = (ติดต่อสื่อสารกัน)ด้วยอีเมวล์
       –by SMS = (ติดต่อสื่อสารกัน)ด้วยการส่งข้อความทาง SMS

       –by car/bus/sky train/etc. = (เดินทาง)ด้วยรถยนต์/รถประจำทาง/รถไฟฟ้า
       –by boat/by water = (เดินทาง)โดยทางเรือ
       –by sea = (เดินทาง)โดยทางทะเล 
       –by Mr Wongkot = (จัดทำ/เขียน/ฯลฯ)โดยนายวงกต
       –by night = (ออกหากิน/ออกเดินทาง)ช่วง/ตอนกลางคืน
       –by day = ตอนกลางวัน 
   In
       –in the sun = ท่ามกลางแสงแดด
       –in black/blue/ect. = ในชุดสีดำ/สีน้ำเงิน/ฯลฯ

       –in black and white/color/3D = ในแบบขาวดำ/สี/สามมิติ
       –in pen/pencil = (เขียน)ด้วยปากกา/ดินสอ

       –in cash = (จ่าย)ด้วยเงินสด 
       –in English = ด้วยภาษาอังกฤษ
       –in the car/the taxi = ในรถยนต์/รถแท็คซี
       –in a hurry = อย่างเร่งรีบ
       –in business = เกี่ยวข้องกับธุรกิจ

       –in hospital/in the hospital = เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล
       –in line/in a queue = เข้าแถวเพื่อรอรับบริการ  
       –in a line = แถวตอนเรียงหนึ่งหรือหน้ากระดานเรียงหนึ่ง
       –in a row = แถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง; (เกิดขึ้น)อย่างต่อเนื่องกัน
       –in time = ทันเวลา
       –in the line of = (เกิดขึ้น)ในขณะที่กำลังมีบางสิ่งดำเนินอยู่
       –in the end = ในที่สุด
       –in/on the hot seat = ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก
       –in the night = ช่วงเวลากลางคืน
       –in debt/เด็ท = เป็นหนี้
       –in private = (พูดคุยกัน)เป็นการส่วนตัว 2 ต่อ 2
       –in favor of = ที่เป็นประโยชน์กับ
       –in detail = (กล่าว)ลงไปในรายละเอียด
       –in progress = กำลังดำเนินการอยู่
       –in the process = (เกิดขึ้น)ในขณะที่กำลังทำบางสิ่งอยู่
       –in return = เป็นข้อแลกเปลี่ยน; เป็นการตอบแทน 
   On
       –on TV/iPod = (ดู)โทรทัศน์อยู่/(ฟัง)iPod อยู่
       –on Facebook/Twitter = เข้าไปใช้งานใน Facebook/Twitter
       –on YouTube = เข้าไปใช้งานยูทูบ

       –on Google = เข้าไปใช้งาน Google 
       –on the website = เข้าไปใช้งานเว็บไซต์
       –on the internet = เข้าไปใช้งานในอินเตอะร์เน็ท
       –on the phone = ใช้โทรศัพท์ติดต่อสื่อสารอยู่
       –on the line = ใช้โทรศัพท์ติดต่อสื่อสารอยู่

       –on line = ใช้งานอินเตอะร์เน็ทเพื่อทำบางสิ่ง เช่น ทำธุรกรรมทางการเงิน จองตั๋ว
                       เป็นต้น
–on DVD and Blu-ray = ในรูปของ DVD และ Blu-ray
       –on time = ตรงเวลา
       –on the way = อยู่บนเส้นทางที่จะไปทำบางสิ่ง

       –on her way = อยู่บนเส้นทางของหล่อนที่จะไปทำบางสิ่ง
–on a bus/a subway train/a plane = อยู่บนรถโดยสาร/รถไฟใต้ดิน/
        เครื่องบิน
       –on my motorcycle = ขับรถจักรยานยนต์

       –on the back of a motorcycle taxi = นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์รับจ้าง
       –on demand = ตามต้องการ
       –on/for sale = มีจำหน่ายแล้ว
       –on sale = ลดราคา
       –on business = เพื่อทำงาน
       –on foot = โดยการเดิน
       –on her feet = โดยการยืนของเจ้าหล่อน
       –on the night = ในค่ำคืน

       –on campus = ในมหาวิทยาลัย; ภายในเขตของมหาวิทยาลัย 
2. Noun + Preposition
    เมื่อกล่าวถึง ‘คำนาม + คำบุพบท’ หรือ ‘noun + preposition’ พวกเรามักคิดถึงแต่
‘noun + of’ แต่ความจริงแล้ว noun ยังใช้คู่กับ preposition อื่นๆได้อีกดังต่อไปนี้
       –seat in = มีตำแหน่งใน
       –change in = ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน 
       –rise/increase in = การเพิ่มขึ้นใน
       –progress in = ความก้าวหน้าใน 
       –policy on = นโยบายเกี่ยวกับ
       –information on/about = ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ
       –design of = การออกแบบเกี่ยวกับ
       –key to = กุญแจไขไปสู่ 
      –choice of = การเลือก(บางสิ่ง)
       –choice for = ตัวเลือกสำหรับ(บางสิ่ง)
      –expression of = สีหน้าของ(ความโกรธ/ความดีใจ/เห็นใจ/ฯลฯ)
      –expression in = การแสดงอารมณ์ความรู้สึกใน(บทกวี/จดหมาย/ฯลฯ)
      –defence of = การปกป้อง(บางสิ่ง)ไว้จากการโจมตี
      –defence against = สิ่งที่ต่อต้าน(บางสิ่ง)ไม่ให้จู่โจมทำร้ายได้